ปัจจุบันการจัดเก็บข้อมูลได้มีพัฒนาการจากเซิร์ฟเวอร์ ไปสู่ระบบเครือข่ายจัดเก็บข้อมูล โดยจะมีประสิทธิภาพและการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น
องค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างเทคโนโลยีสารสนเทศมีด้วยกันสามส่วนอันได้แก่ คอมพิวเตอร์, ระบบเครือข่าย และการจัดเก็บข้อมูล ทั้งนี้ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาบริษัทต่างๆได้มีการพัฒนาในสองส่วนแรกอย่างมากและได้ทิ้งให้ เทคโนโลยีด้านการจัดเก็บข้อมูลล้าหลังอย่างเห็นได้ชัด ถ้าพูดถึงอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลก็จะหมายความถึงอุปกรณ์ ฮาร์ดดิสค์, เทปบันทึกข้อมูล หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลในแบบอิเล็คทรอนิกส์ ซึ่งในปัจจุบันได้มีการ พัฒนาให้มีขนาดเล็กลง, มีความจุสูงขึ้นและมีความเร็วในการอ่านข้อมูลสูง แต่ปัจจุบันนี้องค์กรส่วนใหญ่ที่ได้นำเอา เทคโนโลยีด้านการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบการเพิ่มฮาร์ดดิสค์เข้าไปในเซิร์ฟเวอร์ ได้เริ่มมองเห็นแล้วว่าไม่สามารถรอง รับการเติบโตและพัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์กรที่ได้มีการใช้งานผ่านระบบเครือข่ายซึ่งการจัดการด้านข้อมูล และระบบจัดเก็บเป็นเรื่องสำคัญมากในการดำเนินธุรกิจดัวนั้น หลายต่อหลายบริษัทได้เริ่มที่จะให้ความสนใจเกี่ยวกับโซลูชันด้านการจัดเก็บข้อมูลมากยิ่งขึ้น
วิถีในการจัดการด้านระบบจัดเก็บข้อมูล ได้มีความสำคัญมากขึ้นทุกวัน เมื่อเทียบกับองค์ประกอบสองส่วนแรกของ โครงสร้างเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งนี้เทคโนโลยีระบบเครือข่ายจัดเก็บข้อมูลสมัยใหม่ ได้ทำให้การจัดเก็บข้อมูลก้าว ไปสู่ยุคใหม่ของระบบเครือข่ายที่ทันสมัย ผมขอกล่าวถึงแนวโน้มต่างๆ ที่จะมีส่วนในการส่งเสริมการใช้งานและความ ก้าวหน้าของระบบเครือข่ายจัดเก็บข้อมูลอาทิเช่น
- ปริมาณข้อมูลขององค์กรที่ต้องจัดเก็บเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกๆ 6-12 เดือน
- ความต้องการของพนักงาน, คู่ค้า รวมถึงลูกค้าที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ อย่างรวดเร็วซึ่งสามารถแปลงเป็น ประโยชน์ต่อองค์กรในรูปแบบของการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, ความพึงพอใจของลูกค้า และเป็นการ สร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า และคู่ค้าขององค์กร
- ความปรารถนาของหลายองค์กรที่ต้องการควบคุม Total Cost of Ownership สำหรับโครงการด้านไอทีและ ต้องการใช้ประโยชน์สูงสุดจากโครงสร้างระบบเครือข่ายที่มีอยู่
- ความต้องการในการเตรียมตัวสำหรับการก้าวสู่ธุรกิจ ที่มีการนำเทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ต มาใช้รวมถึงการกู้ข้อมูลจากความเสียหาย แม้ว่าบางส่วนของโครงสร้างระบบสารสนเทศจะหยุดทำงานไป และในบางกรณียัง รวมไปถึงการสร้างสำเนาข้อมูลอย่างต่อเนื่อง สำหรับข้อมูลที่มีความสำคัญสูง
- ความต้องการด้านการจัดเก็บข้อมูลจะเติบโตต่อไป ตราบเท่าที่บริษัทมีการสร้าง และเก็บฐานข้อมูลต่างๆ เพื่อ ใช้ในการดำเนินธุรกิจ
จากเหตุการณ์ 11 กันยายน เมื่อปีที่แล้วได้เน้นย้ำว่า การจัดเก็บข้อมูลเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจเนื่องจากการ ทำธุรกิจทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับการสะสมและจัดเก็บข้อมูลของบริษัทเป็นสำคัญ ตลอดจนช่วงเวลาสำหรับการสำรองข้อมูล ก็สั้นมากจนแทบจะเป็นไปแบบนาทีต่อนาที
การพัฒนาด้านระบบเครือข่ายจัดเก็บข้อมูลจะช่วยให้บริษัทที่มีฐานข้อมูลมากๆ สามารถทำงานได้ง่ายและสะดวกขึ้น สำหรับฝ่ายขาย, ฝ่ายผลิต, และฝ่ายบริการลูกค้าโดยพวกเขาสามารถเห็นภาพรวม ของการทำงานขององค์กรได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นจากฐานข้อมูลของแต่ละแผนก ที่เมื่อก่อนแยกกันเก็บรักษา ทั้งนี้จากการที่มีการจัดเก็บข้อมูลในระบบเดียว จะช่วยให้การบำรุงรักษาง่ายขึ้น
เป้าหมายของระบบเครือข่ายจัดเก็บข้อมูลก็คือ ความสามารถในการรวมอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลหลายชนิดเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดดิสค์, แบ๊กอัพเทป ฯลฯ การทำเช่นนี้ทำให้บริษัทสามารถจัดการแหล่งข้อมูลต่างๆ จากส่วนกลางได้ ดังนั้นผู้ดูแลระบบสามารถมั่นใจได้ว่า ข้อมูลทุกชิ้นได้มีการสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนข้อมูลสำคัญของบริษัท ได้ถูกจัดเก็บไว้ในหลายสถานที่อย่างปลอดภัย และทั้งหมดนี้จะรองรับด้วยระบบความปลอดภัยรวมของเครือข่ายอีกชั้นหนึ่ง จึงรับประกันได้ว่าธุรกิจของท่าน จะไม่หยุดชะงักแม้ในยามที่เกิดวิกฤตการณ์ที่เหนือความคาดหมาย
ในยุคของระบบเครือข่ายจัดเก็บข้อมูลนี้ ความชาญฉลาดของการจัดเก็บข้อมูลนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของระบบเครือข่ายเป็นสำคัญ องค์กรหลายๆ แห่งได้ปรับเปลี่ยนจากที่ใช้การจัดเก็บข้อมูลแบบต่อตรง (Direct Attached Storage, DAS) ซึ่งเป็นการจัดเก็บข้อมูลที่ต่อตรงเข้ากับเซิร์ฟเวอร์แต่ละตัว และนอกจากนี้โซลูชันชนิดนี้ยังมีราคาแพง และยากต่อการเข้าถึงข้อมูลสำหรับหน่วยงานต่างๆ ในองค์กร ดังนั้นบริษัทต่างๆ ควรเริ่มที่จะหันมามองโซลูชันด้านระบบเครือข่ายจัดเก็บข้อมูล ซึ่งสามารถรวมฐานข้อมูลที่อยู่แยกจากกัน ให้มาอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน ในอันที่จะลดต้นทุนในการบำรุงรักษา และขยายความสามารถในการสำรองข้อมูล ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงข้อมูลได้อีกด้วย
ในปัจจุบันหลายองค์กรได้มีการติดตั้งระบบเครือข่ายสำหรับการจัดเก็บข้อมูลโดยเฉพาะ ซึ่งเรียกว่า Storage Area Network หรือ SAN แต่ข้อเสียก็คือยังคงเป็นระบบจัดเก็บข้อมูลที่แยกออกมาเดี่ยวๆ เพียงแต่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเท่านั้นเอง โดยข้อดีของ SAN คือมีการเชื่อมต่อผ่านสายใยแก้วนำแสง จึงสามารถที่จะส่งผ่านข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว และไม่นานมานี้ เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตก็ได้เข้ามาช่วยให้ระบบ SAN มีความสามารถดียิ่งขึ้น โดยเทคโนโลยี IP Storage อย่างเช่น iSCSI ซึ่งได้เข้ามาแก้จุดด้อยของระบบ SAN ที่แต่เดิมทำงานในรูปแบบที่แยกเป็นเอกเทศนั้น สามารถเชื่อมต่อและส่งผ่านข้อมูลกับเซิร์ฟเวอร์ทุกตัวในองค์กรได้ ไม่ว่าจะตั้งอยู่แห่งใด ซึ่งความสามารถนี้ช่วยให้ องค์กรเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานข้อมูลของตนได้อย่างมาก และนอกจากนี้ iSCSI ยังช่วยให้องค์กรขนาดกลาง และขนาดเล็กสามารถใช้งานการจัดเก็บข้อมูลแบบไอพี- เบส ได้โดยมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนต่ำกว่าการทำระบบ SAN ที่ส่งผ่านช่องสัญญาณใยแก้วนำแสง (pure fiber-channel SAN)
เทคโนโลยีด้านการจัดเก็บข้อมูลมีส่วนอย่างมาก สำหรับเสถียรภาพในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งการที่มีการสำรองข้อมูลไว้นอกสำนักงาน ทำให้บริษัทมีการเก็บรักษาข้อมูลไว้สองแห่ง ทั้งนี้ถ้าระบบใดระบบหนึ่งเกิดขัดข้องก็สามารถสลับไป ใช้งานอีกที่หนึ่งและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ในอดีตที่ผ่านมา การทำเช่นนี้จะมีค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เราสามารถต่อเชื่อมระบบเครือข่ายจัดเก็บข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต โดยอาศัยความสามารถของ สตอเรส เราเตอร์ซึ่งถูกพัฒนามาใช้ในการเชื่อมต่อ SAN เข้าด้วยกัน