เคล็ดลับการจัดการด้านการผลิตและการกระจายสินค้า

เคล็ดลับการจัดการด้านการผลิตและการกระจายสินค้า

โซลูชันด้านการผลิตและการกระจายสินค้าในปัจจุบัน สามารถช่วยให้บริษัทวางแผน และจัดการด้านการผลิต โดยการเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสาร ระหว่างฝ่ายผลิตและฝ่ายจัดจำหน่าย ซึ่งอาศัยเครื่องมือบนอินเทอร์เน็ต ที่สามารถส่งข้อมูลให้กับทีมงานแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการจัดส่งวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ จนกระทั่งความต้องการของลูกค้า ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้มา จะช่วยให้โซลูชันด้านการผลิตและการจัดจำหน่าย สามารถทำให้บริษัทลดต้นทุนในการผลิต และตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาด ตลอดจนความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

วงจรของการ "ซื้อ-ผลิต-เคลื่อนย้าย-จัดเก็บ-จัดจำหน่าย" รวมเรียกว่าห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และโซลูชันด้าน การผลิตและการกระจายสินค้าจะครอบคลุมในส่วนของการ "ผลิต-เคลื่อนย้าย-จัดเก็บ" ของห่วงโซ่อุปทานเท่านั้นโดย จะทำหน้าที่ในการแบ่งปันข้อมูลการผลิตและการกระจายสินค้า ระหว่างหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์กรและคู่ค้าภายนอก ซึ่งรวมถึงข้อมูลการตรวจสอบจำนวนของผลิตภัณฑ์ และวัตถุดิบในคลังสินค้า, แผนการผลิต, การวิเคราะห์เส้น ทางขนส่งสินค้า, และการตรวจสอบการสั่งซึ้อและการจัดส่งสินค้า


เคล็ดลับการจัดการด้านการผลิตและการกระจายสินค้า

ระบบการผลิตที่ทำงานบนอินเทอร์เน็ตช่วยปรับปรุงการจัดการวัตถุดิบ, การจัดเก็บสินค้า และการไหลของข้อมูลจาก ฝ่ายผลิตไปสู่สายการผลิต และผู้รับเหมารายย่อยภายนอก ด้วยระบบการจัดการด้านการผลิตนี้ จะช่วยจัดการกระบวนการผลิต ตั้งแต่เวลาที่วัตถุดิบถูกจัดส่งเข้ามาในโรงงาน จนกระทั่งผลิตภัณฑ์สินค้า ถูกจัดส่งออกจากสายการผลิตทั้งนี้ ระบบจัดการด้านการผลิต ที่อาศัยเทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ตนี้ สามารถดัดแปลงให้เข้ากับความต้องการของบริษัทได้ง่าย โดยจะรวบรวมและจัดการข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นอัตราการผลิต, ระดับของวัตถุดิบและ ข้อมูลอื่นๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งไปยังแผนกต่างๆ ในฝ่ายการผลิตเพื่อการวิเคราะห์, การจัดเตรียมอุปกรณ์, การวางแผนการผลิต, การจัดการด้านระบบสั่งสินค้า และจัดเตรียมการส่งสินค้า

นอกจากนี้ระบบจัดการด้านการผลิตนี้ ยังมีส่วนช่วยอย่างมากในการดำเนินธุรกิจ โดยสามารถดูแลการสั่งซื้อของลูกค้า เข้ากับความสามารถในการผลิตและสื่อสารข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ไปยังผู้จัดการโรงงาน, ฝ่ายวางแผนการผลิต, เครือข่ายการจัดส่งสินค้า ตลอดจนผู้บริหารของบริษัท ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถแจ้งระยะเวลาในการจัดส่งสินค้า ให้กับลูกค้าได้โดยอิงจากข้อมูลการผลิตและจำนวนสินค้าคงคลังที่ได้มา และจากการที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วนี้ บริษัทสามารถที่จะให้บริการสั่งสินค้าแบบสั่งทำพิเศษ ได้โดยใช้ส่วนประกอบมาตรฐาน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนสินค้าคงคลัง, เพิ่มความคล่องตัวและลดต้นทุนด้านการผลิต

โซลูชันด้านการกระจายสินค้าและจัดจำหน่าย ช่วยให้บริษัทสามารถจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้โซลูชันนี้การจัดการด้านสินค้าคงคลัง และการดูแลระบบจัดเก็บสินค้าจะเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ซึ่งรวมถึงการขนส่งสินค้าทั้งเข้าและออก โดยครอบคลุมถึงการเลือกเส้นทาง และวิธีการจัดส่งที่มีประสิทธิภาพและประหยัดที่สุด และยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถตรวจสอบได้อีกว่า การจัดส่งสินค้าในแต่ละใบสั่งอยู่ที่ขั้นตอนใดแล้ว

จากเรื่องราวที่ได้กล่าวมาในขั้นต้น ท่านผู้อ่านคงจะได้เห็นถึงประโยชน์ในด้านต่างๆ ที่จะช่วยให้ระบบการผลิต และการกระจายสินค้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และอาจจะมีคำถามในใจว่า แล้วจะมีวิธีการหรือขั้นตอนใด ที่จะนำโซลูชันนี้มาใช้งานได้อย่างจริงจัง จึงขอกล่าวถึงขั้นตอนในการนำโซลูชันด้านการผลิตนี้ไปใช้ โดยขอแบ่งเป็น 5 ส่วนดังนี้

  1. กลยุทธ์: โดยเริ่มจากการตรวจสอบว่าท่านต้องการใช้อินเทอร์เน็ตในการดำเนินธุรกิจ และในกระบวนการผลิตอย่างจริงจังหรือไม่ รวมถึงวิเคราะห์ว่าระบบอัตโนมัติ จะเข้ามาช่วยอย่างไรในห่วงโซ่อุปทาน และวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทแล้ว จึงมาจัดลำดับการดำเนินการ โดยอาจจะเริ่มสำรวจตัวเองตามหัวข้อต่างๆ ดังต่อไปนี้
    • ส่วนงานในด้านการผลิต และการแจกจ่ายมีความสำคัญเพียงไรในบริษัทท่าน
    • ท่านต้องการให้ส่วนงานด้านการผลิต และการแจกจ่ายมีการพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไปอย่างไร
    • ท่านมีแผนในการขยายเครือข่ายในการติดต่อกับคู่ค้าทางธุรกิจของท่านหรือไม่
    • ผู้บริหารของท่านสนับสนุนในการนำเทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ต มาใช้ในงานด้านการผลิตหรือไม่
  2. กระบวนการ: บริษัทของท่านต้องมีความเข้าใจอย่างดี และสามารถระบุกระบวนการของการผลิต และการแจกจ่ายได้ โดยคำนึงถึงกระบวนการภายใน และในส่วนของคู่ค้ารวมไปถึงการบริการลูกค้า, ผู้ค้ารายย่อย, คลังสินค้า ตลอดจน ความสามารถในการรวมระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน
    • ความสามารถในการแจกจ่าย และจัดจำหน่ายของท่านอยู่ในระดับใด
    • ท่านได้รักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับคู่ค้า ตลอดจนผู้รับเหมาในการจัดส่งสินค้าอย่างไร
    • ขีดความสามารถในการผลิตของท่านอยู่ในระดับใด และได้ใช้ความสามารถนั้นได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่
    • มีกระบวนการอะไรในการดูแลการจัดเก็บสินค้า และจัดการระบบคลังสินค้าอย่างไร
  3. บุคลากร: การฝึกอบรม, วัฒนธรรมขององค์กร และโครงสร้างองค์กร ต้องสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการผลิต และการกระจายสินค้า และที่สำคัญที่สุดคือ ความร่วมมือของพนักงานทุกคนที่จะนำโซลูชันนี้มาใช้งาน
    • ท่านสามารถติดต่อ หรือว่าจ้างบุคลากรที่จะมาดูแลระบบนี้ได้หรือไม่
    • พนักงานของท่านสามารถเข้าสู่อินเทอร์เน็ต และพร้อมที่จะใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือไม่
    • วัฒนธรรมและโครงสร้างองค์กรของท่าน สามารถเปลี่ยนจากตัวใครตัวมันไม่เกี่ยวข้องกัน มาเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างหลายๆ แผนกได้หรือไม่
  4. เทคโนโลยี: ต้องมีการเตรียมการสำหรับการขยาย และปรับปรุงทรัพย์สินทางกายภาพต่างๆ ซึ่งรวมถึงโครงสร้าง เครือข่ายคอมพิวเตอร์, ศูนย์กระจายสินค้า, และคลังเก็บสินค้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จของการนำโซลูชันด้านการผลิตมาใช้
    • ระบบเครือข่ายด้านการผลิต และการกระจายสินค้าในปัจจุบัน ได้มีการต่อเชื่อมกันหรือไม่
    • โครงสร้างพื้นฐานด้านพื้นที่, ระบบไฟฟ้า และระบบไหลเวียนอากาศ สามารถรองรับอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยี ที่จะนำมาติดตั้งในสายการผลิต, คลังเก็บสินค้า และศูนย์กระจายสินค้าได้หรือไม่
    • คู่ค้าของท่านมีความพร้อมเพียงไร ในการต่อเชื่อมเข้ากับระบบใหม่ของท่าน
    • ระบบที่ใช้อยู่เดิมมีความคล่องตัวในการขยายระบบหรือไม่, สามารถไว้วางใจและมีความปลอดภัยเพียงไร
  5. การบริการและสนับสนุน: นอกเหนือจากบุคลากรและเทคโนโลยี ท่านอาจจะต้องอาศัยบริการจากภายนอก เพื่อความ สะดวกและรวดเร็วในการดำเนินการ
    • ท่านสามารถย่นเวลาการดำเนินการ และประหยัดค่าใช้จ่ายได้หรือไม่ ถ้าใช้บริการจากบริษัทภายนอกที่มีความชำนาญ และประสบการณ์ในโซลูชันด้านระบบการผลิต เมื่อเทียบกับการฝึกอบรมพนักงาน เพื่อมาติดตั้งระบบเพียงครั้งเดียวนี้
    • จะมีผลกระทบต่อธุรกิจมากเพียงไร ถ้าไม่มีระบบใหม่มาใช้งาน และท่านมีแผนในการป้องกันปัญหาอย่างไร
    • ท่านจะปรับเปลี่ยนระบบเดิม ไปสู่ระบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างไร

โดยสรุปโซลูชันด้านการผลิตและการกระจายสินค้า ช่วยท่านปรับปรุงประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่การ "ผลิต-เคลื่อนย้าย-จัดเก็บ" โดยอาศัยกระบวนการที่ทำงานอย่างอัตโนมัติ สามารถช่วยเพิ่มรายได้, ลดต้นทุน, จัดส่งสินค้าได้ อย่างรวดเร็วและใช้ประโยชน์ของทรัพย์สินที่มีอยู่ได้อย่างคุ้มค่า ซึ่งการนำเอาเทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ตมาใช้ในด้านการผลิตและการกระจายสินค้า ช่วยปรับปรุงการสื่อสารและสามารถปรับตัวต่อความต้องการของลูกค้า และตลาดได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ถ้ามีการดำเนินการอย่างถูกต้อง จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพโดยภาพรวมของการดำเนินธุรกิจได้