จาก EDI สู่ทางเลือกใหม่ในการทำเว็บแอพพิเคชัน |
![]() |
ทางเลือกใหม่ในการใช้เว็บแอพพิเคชันนี้ช่วยลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความคล่องตัวให้กับธุรกิจ ![]() Electronic Data Interchange หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า EDI ได้มีส่วนช่วยในการแบ่งปันข้อมูลทางธุรกิจสำหรับคู่ค้าใน ระบบซัพพลายเชน มามากกว่า 25 ปี โดยการนำ EDI มาใช้นี้บริษัทสามารถส่งและรับข้อมูลต่างๆอย่างปลอดภัยในรูป แบบอิเล็คทรอนิกส์ผ่านทางวงจรเช่าส่วนบุคคล (Private leased-line) ซึ่งรู้จักกันในชื่อว่า Value-added Networks หรือ (VANs) โดยวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีในการใช้ EDI มาช่วยในการดำเนินธุรกิจขององค์กรต่างๆในการแลกเปลี่ยน ข้อมูลและแนวโน้มของการใช้งานยังเป็นที่นิยมกันอยู่ ในขณะที่ทางเลือกใหม่ในการส่งผ่านข้อมูลผ่านทางเว็บ แอพพิเคชันรวมถึงประโยชน์ในการลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความคล่องตัวทำให้เราไม่สามารถที่จะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป EDI ได้ถูกออกแบบมาสำหรับการส่งผ่านข้อมูลด้วยความปลอดภัย จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งเพียงอย่างเดียวและ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็สามารถทำงานได้ค่อนข้างดีพอสมควร โดยรูปแบบมาตรฐานที่นิยมนำมาใช้ก็คือบริษัทสามารถ ส่งข้อมูลเกี่ยวกับใบสั่งซื้อสินค้าและข้อมูลสินค้าคงคลัง ให้กับคู่ค้าที่อยู่ในระบบซัพพลายเชนตลอดจนข้อมูลด้านการ เรียกเก็บและการชำระค่าสินค้าได้ผ่านทางวงจรเช่าส่วนบุคคล อย่างไรก็ตามระบบ EDI ก็ยังมีข้อด้อยที่ทุกคนทราบกัน เป็นอย่างดีในเรื่องของความยุ่งยากในการใช้งานตัวอย่างเช่น สององค์กรที่จะส่งผ่านและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันนั้น ต้องมีการระบุรูปแบบของข้อมูลชนิดต่างๆ ที่จะมีการแลกเปลี่ยนกันและเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบ ในการเพิ่มรายชื่อร้านค้า หรือปรับเปลี่ยนรายการข้อมูลสินค้าในระบบ EDI ก็จะต้องใช้เวลานานและมีความยุ่งยาก อย่างมากสำหรับผู้ออกแบบ และพัฒนาแอพพิเคชันในการปรับเปลี่ยนให้มีการใช้งานได้ใหม่ ระบบ EDI โดยพื้นฐานแล้วเป็นระบบที่ไม่มีความคล่องตัวสำหรับการปรับเปลี่ยน และการขยายขอบเขตการใช้งาน และที่สำคัญก็คือมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนค่อนข้างมากอีกด้วย ซึ่งค่าบริการในการส่งผ่านข้อมูลแต่ละครั้งที่บริษัทจะถูก เรียกเก็บโดยผู้ให้บริการ Value-added Networks ในการใช้งานเครือข่ายส่วนตัวที่ไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานสากล (Proprietary Network) ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ในช่วง 600 ถึง 1,500 บาทต่อเมกะไบท์ของข้อมูลที่ได้มีการส่งรับกัน ทั้งนี้ ถ้าบริษัทมีการส่งข้อมูลจำนวนมาก ให้กับคู่ค้าหลายรายที่ต่อเชื่อมอยู่ในเครือข่ายนี้แล้วละก็ จะต้องเตรียมค่าใช้จ่ายใน การทำ EDI นี้เป็นจำนวนหลายสิบล้านบาทในแต่ละปีเลยทีเดียว ในทางกลับกันถ้าบริษัทสามารถจัดการให้มีการส่งรับและแบ่งปันข้อมูลโดยใช้ Extensible Markup Language หรือ ภาษา XML ได้แล้วสิ่งที่ตามมาคือทางบริษัทแทบที่จะไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย นอกเหนือไปจากค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อเครือข่ายขององค์กรสู่อินเทอร์เน็ต เพื่อที่จะส่งผ่านข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสาธารณะ และการที่บริษัท สามารถแบ่งปันข้อมูลต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ตได้นั้นจะทำให้บริษัทมีความคล่องตัวมากขึ้น โดยการใช้ภาษา XML ซึ่งเป็นภาษามาตรฐานในการแปลงข้อมูล เพื่อที่จะส่งผ่านระบบต่างๆในเพื่อที่จะให้มีการสื่อสารระหว่างแอพพิเคชันได้ บริษัทสามารถส่งรับข้อมูลต่างๆได้ง่ายดายยิ่งขึ้นในขณะที่การใช้ EDI มีข้อจำกัดในการส่งแบบจุดต่อจุดเท่านั้น ยิ่งไป กว่านั้นภาษา XML สามารถเอื้อประโยชน์ต่างๆ ได้มากกว่าเดิมเช่นบริษัทและคู่ค้าสามารถแบ่งปันข้อมูลแบบทันทีทันใด (Real-time) ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสินค้าคงคลังที่เหลืออยู่ในโกดัง รวมถึงระยะเวลาในการจัดส่งสินค้าและการจัดการ ด้านแผนการผลิตสินค้าให้ทันต่อความต้องการของลูกค้า ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้สามารถทำได้กับคู่ค้าหลายๆ รายได้ใน เวลาเดียวกันอันจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งบริษัทเองและคู่ค้าต่างๆ ในระบบซัพพลายเชนโดยพวกเขาสามารถลดค่าใช้ จ่ายได้จากการลดจำนวนสินค้าคงคลังให้พอเหมาะต่อความต้องการของตลาด และสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับบริษัทหรือองค์กรในการตรวจสอบว่า การนำเว็บแอพพิเคชันมาใช้แทนระบบ EDI จะช่วย ให้บริษัทได้รับประโยชน์ต่างๆ มากขึ้นจริงหรือไม่ ก็คือการวิเคราะห์ในรายละเอียดของสภาวะการส่งผ่านข้อมูลของ บริษัทและทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบทางเลือกต่างๆ ซึ่งจะออกมาในรูปแบบของรายงานค่าใช้จ่ายต่อประโยชน์ บริษัทที่มีงบประมาณเพียงพอและไม่ต้องการที่จะต้องพึ่งพาการส่งรับข้อมูลผ่านเครือข่าย VAN ไม่ว่าจะมีระบบ EDI ใช้อยู่หรือไม่ก็ตามบริษัทเหล่านี้ยังมีทางเลือกอีกทางหนึ่งในการใช้ระบบ Interenterprise Application Integration (IAI) ซึ่งใช้ภาษา XML และ ภาษาจาวา รวมถึงการเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล และเทคโนโลยีการส่งผ่านข้อมูลที่ทำให้การสื่อสารระหว่างระบบต่างๆ สามารถทำได้โดยไม่ขึ้นกับประเภทของแอพพิเคชันและต้นแหล่งของข้อมูล สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่อาจจะมีงบประมาณไม่เพียงพอสำหรับ IAI หรือแอพพิเคชันด้านซัพพลาย เชนอื่นๆ หรือบริษัทที่ไม่มีทรัพยากรบุคคลที่มีความชำนาญด้านเทคนิค ในการที่จะพัฒนาระบบขึ้นใช้เองภายใน องค์กร ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือ การใช้บริการจากผู้ให้บริการด้านเว็บแอพพิเคชันสำหรับระบบซัพพลายเชน บริษัทที่ได้ลงทุนในการทำ EDI มาแล้วก็เป็นการยากที่จะหยุดใช้มันแล้วเปลี่ยนมาใช้ระบบใหม่ หรือแม้แต่อาจจะมี คำถามว่า ระบบที่ใช้อยู่ยังสามารถทำงานได้ดีทำไมต้องมีการแก้ไขมันในหลายๆ กรณีการเปลี่ยนจากระบบที่ใช้มากัน อยู่แต่เดิมสู่สิ่งใหม่ๆ มักจะมีการลงทุนที่สูงแต่อย่างไรก็ดี บริษัทหรือองค์กรต่างๆ ก็ควรที่จะไม่มองข้ามหรือละเลยใน การศึกษาถึงรายละเอียดต่างๆ และท่านอาจจะค้นพบถึงช่วงเวลาอันเหมาะสม ในการปรับเปลื่ยนมาใช้เทคโนโลยีใหม่ อย่างแอพพิเคชันที่ใช้ภาษา XML ในอันที่จะลดค่าใช้จ่ายให้กับองค์กรได้ ในปัจจุบันนี้ได้มีหลายบริษัทได้เริ่มนำแอพพิเคชันที่ใช้ภาษา XML มาใช้ควบคู่ไปกับระบบ EDI ที่มีอยู่เดิมและผลที่ ได้รับก็คือบริษัทสามารถส่งรับข้อมูลจำนวนมากผ่านระบบ EDI เดิมและเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งข้อมูลแบบเรียล ไทม์ผ่านแอพพิเคชัน XML รวมถึงการเชื่อมต่อระบบเข้ากับคู่ค้ารายใหม่ๆที่ใช้แอพพิเคชันแบบ XML ได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยใช้แอพพิเคชันแบบ XML คงจะใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งกว่าจะเป็นมาตรฐานที่ ใช้กันอย่างแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงจาก EDI มาเป็นเว็บแอพพิเคชันขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม โดยอาจจะคาดเดาได้ว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีเพียง 60 เปอร์เซนต์ของธุรกิจด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และไฮเทคที่จะนำเว็บแอพพิเคชันมาใช้ ทั้งนี้เนื่อง จากการทำธุรกิจของพวกเขาต้องอาศัยคู่ค้า และระบบซัพพลายเชนอย่างมาก โดยเหตุผลหลักก็คือการลดต้นทุนและเพิ่ม ความคล่องตัวให้กับการดำเนินธุรกิจรวมถึงเป็นการเตรียมความพร้อม สู่การทำธุรกิจในยุคอินเทอร์เน็ตอีกด้วย |
![]() |